ทรัพย์สินส่วนตัวและความเป็นเจ้าของทรัพยากรเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจทุนนิยม ภายในระบบนี้ บุคคลหรือองค์กรเอกชน (เรียกว่านายทุน) เป็นเจ้าของและควบคุมกลไกการค้าและวิธีการผลิต (โรงงาน เครื่องจักร วัสดุ ฯลฯ ที่จำเป็นสำหรับการผลิต) ในระบบทุนนิยมที่ "บริสุทธิ์" ธุรกิจต่างแข่งขันกันเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และการแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทำหน้าที่กันไม่ให้ราคาขึ้น
สังคมนิยมกับทุนนิยม: อะไรคือความแตกต่าง?
หากเราทำอัลตราซาวด์เพื่อดูสิ่งที่เรียกว่าทุนนิยม ภายในนั้นเราจะพบ “อวัยวะภายใน” ที่สำคัญคือ องค์กรธุรกิจ ตลาดแรงงาน ระบบการศึกษาและการฝึกอบรม ตลาดการเงิน และภาครัฐที่เป็นเสมือนกระดูกสันหลัง ทุนนิยมจะทำงานได้ดีหรือไม่ หรือเติบโตไปในทิศทางใดขึ้นกับว่าอวัยวะภายในเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไร
ค่าแรง. ภายใต้ระบบทุนนิยม วิธีการผลิตถูกควบคุมโดยคนกลุ่มเล็กๆ ผู้ที่ไม่มีทรัพยากรเหล่านี้ไม่มีอะไรให้นอกจากเวลาและแรงงานของตนเอง ด้วยเหตุนี้ สังคมทุนนิยมจึงถูกกำหนดโดยการมีอัตราร้อยละของแรงงานที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเจ้าของ
ความเป็นเจ้าของและความเท่าเทียมกันของรายได้
สรุปง่ายๆ ว่า “ทุนนิยมไม่ได้มีแบบเดียว” แต่แตกต่างกันไปตามเรื่องราวที่ล้อมอยู่รายรอบทุนนิยม
แต่ละเลยคำถามว่า กิจการต่างชาติถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เราบ้างไหม “ตะกร้าสินค้าส่งออก” เราพัฒนาจากของง่ายๆ ไปเป็นของยากๆ มากขึ้นตามเวลาหรือเปล่า
ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จของทุนนิยมในประเทศตะวันตกและเอเชียตะวันออก หรือความไม่ค่อยสำเร็จของทุนนิยมในลาตินอเมริกาและไทยก็ล้วนเกิดขึ้นผ่านกระบวนการนี้
คณาธิปไตยคืออะไร? ความหมายและตัวอย่าง
ในทางกลับกัน นักสังคมนิยมเชื่อว่าทรัพย์สินทุกคนควรเป็นเจ้าของ พวกเขาโต้แย้งว่าความเป็นเจ้าของส่วนตัวของระบบทุนนิยมทำให้คนร่ำรวยเพียงไม่กี่คนสามารถซื้อทรัพย์สินส่วนใหญ่ได้ ความเหลื่อมล้ำของรายได้ส่งผลให้ผู้ที่มีรายได้น้อยตกอยู่ภายใต้ความเมตตาของคนรวย นักสังคมนิยมเชื่อว่าเนื่องจากความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ส่งผลกระทบต่อสังคมทั้งสังคม รัฐบาลควรลดความเหลื่อมล้ำผ่านโครงการที่เป็นประโยชน์กับคนยากจน เช่น การศึกษาฟรีและการดูแลสุขภาพ และภาษีที่สูงขึ้นสำหรับคนรวย
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันบทบาทของการแข่งขันได้ลดน้อยลงไป เนื่องมาจากบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากได้ใช้กลยุทธ์ในการควบรวมกิจการและดึงเอาบริษัทคู่แข่งมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทตนเอง ซึ่งทำให้การแข่งขันในตลาดลดลง ฉะนั้น โดยสภาพแล้วทุนนิยมจึงไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่เลวร้ายไปทุกกรณี การแข่งขันที่ลดลงต่างหากคือสิ่งที่ทำให้ทุนนิยมกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย และจำเป็นต้องระงับปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ลดลง
ระบบทุนนิยมกับปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นความท้าทายของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมาตลอด เพราะสามารถส่งผลกระทบกว้างขวาง ทั้งต่อคนในสังคมและความยั่งยืนของระบบทุนนิยม ปัญหาคือระบบทุนนิยมสามารถสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจได้ดี แต่เรื่องการกระจายผลที่เกิดจากการเติบโต ในแง่ของรายได้ที่เกิดขึ้นให้กับกลุ่มคนต่างๆ ในเศรษฐกิจนั้นทำได้ไม่ดี คือ คนส่วนน้อยได้ประโยชน์มากจากการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์อย่างที่ควร เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่คนจำนวนน้อยร่ำรวยมาก แต่คนส่วนใหญ่มีแค่พออยู่พอกินหรือไม่ก็ยากจน และยิ่งเศรษฐกิจเติบโต ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็ยิ่งมีมากขึ้น หมายถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น กรณีของประเทศไทย ซึ่งระบบเศรษฐกิจทำงานอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม ประเทศเราก็มีปัญหาความเหลื่อมล้ำมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เป็นปัญหาสำคัญของสังคม ทุนนิยม ซึ่งถ้าไม่พยายามแก้ไข ความรุนแรงของปัญหาอาจเป็นความเสี่ยงต่อความสมานฉันท์ เสถียรภาพและความยั่งยืนของเศรษฐกิจได้
ในทางตรงกันข้ามกับทุนนิยม ความกังวลหลักของลัทธิสังคมนิยมคือการกำจัดชนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคมที่ "รวย" และ "ยากจน" โดยทำให้แน่ใจว่ามีการกระจายความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียมกันในหมู่ประชาชน เพื่อให้บรรลุสิ่งนี้ รัฐบาลสังคมนิยมควบคุมตลาดแรงงาน ซึ่งบางครั้งอาจถึงระดับการเป็นนายจ้างหลัก สิ่งนี้ทำให้รัฐบาลสามารถรับประกันการจ้างงานได้อย่างเต็มที่แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ
ทุนนิยมทั่วโลกเป็นการจัดความสัมพันธ์ระหว่าง “อวัยวะภายใน” สำคัญๆ ของสังคม คือ ระบบการศึกษา ตลาดทุน ตลาดแรงงาน องค์กรธุรกิจ และภาครัฐ ทุนนิยมของแต่ละประเทศจะทำงานได้ดีแค่ไหน เติบโตไปทิศทางใด ก็ขึ้นกับว่าอวัยวะภายในเหล่านี้ทำงานเชื่อมโยงกันอย่างไร